วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

ครั้งที่ 5

บันทึกการเรียนครั้งที่ 5

วันอังคาร ที่  3 ธันวาคม 2556

     วันนี้อาจารย์เปิด PowerPoint เนื้อหาการสอนไม่ได้อาจารย์เลยให้เคลียงานที่ค้างอยู่

 ความรู้เพิ่มเติม

เด็กออทิสติก

               ออทิสติกเป็นปัญหาของการเสียพัฒนาการในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นพัฒนาการด้านภาษา พัฒนาการอารมณ์ และพฤติกรรมที่เหมาะสมกับวัย จัดว่าเป็นการเสียพัฒนาการที่รุนแรง สามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ก่อนอายุ 1 ปี

              เด็กออทิสติกจะเป็นลักษณะของการเล่นอยู่ในโลกของตัวเอง เด็กอาจจะชอบทำอะไรซ้ำๆ ชอบสังเกตหรือดูอะไรที่เป็นลักษณะการทำงานซ้ำๆ เช่น พัดลม หรือมีความสนใจเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถ ต้นไม้ หรือว่าสิ่งอื่นๆ รอบตัว ซึ่งอาจจะต่างกันไปในเด็กบางคน นอกจากนั้นในเรื่องการเคลื่อนไหวก็อาจจะมีวิธีการเดินเฉพาะตัวของเด็ก ซึ่งก็แตกต่างกันไปในเด็กแต่ละคนเช่นกัน เช่น การเดินเขย่ง เป็นต้น


ข้อสังเกตลูกน้อยออทิสติก
- ดูดนมได้ไม่ดี
- เงียบเฉยเกินไป และไม่สบตา
- ไม่สนใจให้ใครกอดรัด ไม่ชอบให้ใครมายุ่ง
- ไม่ลอกเลียนแบบ ชี้นิ้วไม่เป็น
- ไม่สนใจใคร แต่บางรายอาจติดคนมากจนผิดปกติ
- ท่าทางเฉยเมย ไร้อารมณ์เมื่อถูกชักชวนให้เล่น หน้าจะเรียบเฉยมากหากสังเกตดูดีๆ จะมี     แววเศร้า
- ไม่แสดงท่าทางหรือส่งเสียงเรียก ไม่ส่งเสียงไม่อ้อแอ้
   พ่อแม่หรือคนเลี้ยงดูสังเกตได้ว่าลูกไม่เหมือนเด็กอื่น
- ไม่สนองตอบด้านอารมณ์ ไม่แสดงอาการดีใจให้เห็นหรือทักทายคนที่เด็กชอบ หรือหาก     แสดงก็มากเกินไป
-ผูกพันกับสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำๆ ถ้าดึงออกจะกรีดร้องอยู่นาน

              เด็กสมาธิสั้น (Attention Deficit Hyperactivity Disorder - ADHD)
ผลการสำรวจจาก WHO (World Health Organization) เมื่อปี 2006 พบว่าเด็กร้อยละ 5.9 เป็นโรคสมาธิสั้น ถือเป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นจากการทำงานของสมอง แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าเกิดจากสาเหตุใดแน่ชัด อาจเกิดจากได้รับสารพิษบางประเภท เช่น สารตะกั่ว หรือกรรมพันธุ์จากพ่อแม่ที่มีอาการสมาธิบกพร่อง ลูกก็อาจมีปัญหาเดียวกัน หรืออาจเกิดจากการทำงานของสมองส่วนหน้า (frontal lobe) ซึ่งทำหน้าที่คัดกรองสิ่งเร้า ทำหน้าที่บกพร่อง ทำให้เด็กหันไปสนใจสิ่งเร้าที่ไม่เหมาะสมแทนที่จะสนใจสิ่งเร้าที่สำคัญ โดยสารสื่อประสาท (neurotransmitter) บางอย่างมีลักษณะไม่สมดุล สมองจึงทำหน้าที่ไม่ได้ดี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเด็กด้อยปัญญา ตรงกันข้ามเด็กกลุ่มนี้ค่อนข้างจะมีสติปัญญาดีด้วยซ้ำ สามารถแบ่งตามอาการแสดงออก คือ

           สมาธิสั้น – ขาดความสามารถในการจดจ่อเพื่อรับสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่งให้นานพอที่จะเรียนรู้ได้ เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราจดจ่ออยู่กับสิ่งใด สมองจะมีความสามารถพิเศษที่จะตัดสิ่งเร้าไม่พึงประสงค์ออกไปได้ และจะรับเฉพาะเรื่องที่สนใจเพียงเรื่องเดียว
       - ละเลยในรายละเอียด หรือทำผิดด้วยความเลินเล่อในการทำงาน การเรียน หรือการทำกิจกรรมอื่นๆ
       -ไม่มีสมาธิในการทำงานหรือการเล่น
       - ดูเหมือนไม่ฟังเวลาพูดด้วย
       - ทำตามคำแนะนำไม่จบ หรือทำกิจกรรมไม่เสร็จ
       - มีความลำบากในการจัดระเบียบงานหรือกิจกรรม
       - หลีกเลี่ยงหรือไม่ชอบกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิ
       - ทำของหายบ่อยๆ
            ซนมาก– เด็กสมาธิสั้นจะซนกว่าเด็กปกติอย่างเห็นได้ชัด และจะซนเรื่องเดิมได้ไม่นาน มีความเร็วสูง (hyperactive) จึงมักจะมีของแถมเป็นบาดแผลติดตัวอยู่บ่อยๆ ไม่สามารถยับยั้งและควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ อย่างเช่น มักวิ่งชนโต๊ะ แม้จะอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยหรือเจอผู้ใหญ่ที่ไม่คุ้นหน้า เขาก็ยังซนเหมือนเดิม ในขณะที่เด็กทั่วไปจะระวังตัวหรือเกร็งๆ อยู่บ้าง
         - บิดมือหรือเท้า หรือนั่งบิดไปมา
         - ลุกจากที่ในห้องเรียนหรือที่อื่นที่ต้องนั่ง
         - วิ่งไปมา ปีนป่ายในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
         - ไม่สามารถเล่นแบบเงียบๆ ได้
         - เคลื่อนไหวตลอดเวลา คล้ายขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์
         - พูดมากเกินไป

          หุนหันพลันแล่น  - ทันทีที่มีอะไรเกิดขึ้นในใจ เขาจะโต้ตอบฉับพลัน ไม่รู้จักรอคอย ไม่รู้จักกาละเทศะ หรือโมโหเพื่อนเมื่อไรก็ใช้กำลังตอบโต้ทันทีเช่น ครูถามว่า "ใครรู้คำตอบบ้างยกมือขึ้น" เด็กปกติจะยกมือ แต่ถ้าเด็กสมาธิสั้นรู้ เขาจะลัดคิวตอบเลย

         - ผลีผลามตอบก่อนจะถามจบ
         - ไม่สามารถรอคอยในแถว
         - พูดแทรกหรือก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น

           อาการสมาธิสั้นที่ไม่ได้รับการรักษา จะกลายเป็นปัญหาในตอนโตต่อเนื่อง การเรียนตกต่ำ ใจร้อน ชอบชกต่อย ติดเกม ติดบุหรี่หรือยาเสพติด กลายเป็นคนที่สังคมไม่ยอมรับ เกเรและซึมเศร้าได้ โดยกุมารแพทย์ทุกคนสามารถวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นได้ ถ้าพบว่าเป็นจึงจะส่งต่อไปรักษา และมีรายงานว่า 1 ใน 3 สามารถหายเป็นปกติ อีก 1 ใน 3 พอโตแล้วก็ยังมีอาการอยู่ ส่วนอีก 1 ใน 3 ยังคงมีอาการอยู่ แต่สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้

        เด็กสมาธิสั้นจะถูกดึงจากสิ่งเร้ารอบตัวได้ง่าย เพราะฉะนั้นโต๊ะ เก้าอี้ สำหรับทำการบ้าน อ่านหนังสือ ควรจัดให้เป็นสัดส่วน ลดสิ่งรบกวนให้น้อย ปรับสิ่งแวดล้อมให้เด็กอยู่ได้อย่างปลอดภัย ลดสิ่งกีดขวางในบ้านให้น้อยลง นอกจากนั้นพาลูกไปสวนสาธารณะ ให้เขาได้ออกกำลังเพื่อปลดปล่อยพลังงานที่มันเหลือเฟือ พอเหนื่อยมากๆ อาการสมาธิสั้นก็จะดีขึ้น

สังเกตพฤติกรรมลูกสมาธิสั้น
                - ไม่สามารถอยู่นิ่งได้
                - ไม่นั่งอยู่กับที่ขณะรับประทานอาหาร
                - เล่นของเล่นอย่างหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็เปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่น
                - ไม่สามารถทำตามคำสั่งง่ายๆ
                - เล่นเสียงดังกว่าเด็กอื่นๆ
                - พูดมาก พูดไม่หยุด พูดขัดจังหวะคนอื่นๆ
                - ไม่ชอบแบ่งปัน ไม่อดทนรอเวลาเข้าแถวหรือเวลาเล่นของเล่นที่ต้องแบ่งกัน                       เล่น
               - ชอบแย่งของจากผู้อื่น โดยไม่สนใจความรู้สึกของผู้ถูกแย่ง
               - ประพฤติตัวไม่เหมาะสมอยู่เป็นประจำ
              - ครูผู้ดูแลบ่นว่ามีปัญหาทางพฤติกรรม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น